เลขา ครป. หวังที่ประชุมเป็นทางออก แนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โหวตตามเจตนารมณ์เสรี ไม่ใช่ความเห็นชอบพรรค
ตอนวันที่ 16 ก.พ. นายปัญญา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อระบบประชาธิปไตย (ครป.) เอ่ยถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรีว่า ตนคาดหมายว่าจะก่อให้ประเทศชาติมีทางออก และก็ผู้กุมอำนาจจะได้จำเป็นต้องรับผิดชอบสำหรับในการกระทำไม่ดี ในความไม่ลงรอยกันด้านการเมือง จำต้องรักษาระบบสภานิติบัญญัติในระบบประชาธิปไตยไว้ให้ดี ปัญหาความไม่ถูกกันต่างๆทุกเรื่องในสังคม คำแนะนำสำหรับการแก้ไขประเทศ แล้วก็เปลี่ยนข้อบังคับต่างๆจะต้องสามารถจัดแจงแล้วก็หาทางออกโดยระบบสภานิติบัญญัติได้ไพเราะเป็นศูนย์กลางที่ผู้แทนของพสกนิกร รวมทั้งปัญหาการสู้รบความนึกคิดแล้วก็นโยบายทางด้านการเมือง เพื่อสร้างความพร้อมเพรียงและก็สมัครสมานต่อกัน ล้วนเป็นหน้าที่ของสภานิติบัญญัติโดยตรง ไม่อย่างนั้นแล้ว แม้วิธีการทำหน้าที่ของสภานิติบัญญัติผิดพลาดไม่อาจจะหาทางออกให้ประเทศได้ ก็จะมีการจู่โจมว่านักการเมืองไม่ปฏิบัติหน้าที่ จนกระทั่งกำเนิดทางตันในระบบสภานิติบัญญัติ ซึ่งชอบเป็นข้อแก้ตัวให้มีการรัฐประหารโดยกองทัพ
“ผมมีความคิดเห็นว่าปัญหาทั้งหมดทุกอย่างในประเทศนี้ต้องมีการหาทางออกในสภานิติบัญญัติให้ได้ เพื่อปรับปรุงรวมทั้งแก้ไขเหตุการณ์เป็นทางออกให้ราษฎรที่ลงสู่ถนน และก็พวกเราก็ไม่ต้องการให้สังคมกลับไปจับอาวุธสงครามกลางเมือง เสมือน 40 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ ปัญหาความเกี่ยวเนื่องทางอำนาจ ปัญหานโยบายทางด้านการเมือง ควรเสนอโต้เถียงรวมทั้งเสนอได้ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งความเคลื่อนไหวปรับปรุงข้อบังคับต่างๆที่คือปัญหา
นอกจากนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในคราวนี้ ควรเป็นไปอย่างไม่อ้อมค้อม ไม่ใช่มวยล้มต้มผู้ชม ภายหลังจากมีข่าวโคมลอยว่าสมาชิกพรรคฝ่ายค้านเล็กน้อยก็ไปรับการแจกเงินรวมทั้งงดการอภิปรายในบางเรื่องรวมทั้งบางบุคคล เพื่อสังคมไทยที่ตกอยู่ในภาวการณ์ที่การขัดกัน ได้ใส่ใจว่านักการเมืองได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนจริงๆสำหรับเพื่อการตรวจตราผู้กุมอำนาจที่อดทน เพื่อคลี่คลายความไม่ลงรอยกันจากข้างนอก โดยใช้ข้อมูลความจริงที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมภายใต้สิทธิพิเศษปกป้องที่ได้รับ
ผมไม่อยากที่จะให้มีบรรยากาศการต่อต้านไปๆมาๆเพื่อยืดเวลาสำหรับเพื่อการอภิปราย ซึ่งจะมีผลให้ ประเทศพลาดโอกาส เสียเวล่ำเวลาที่มีอยู่ และก็
สมาชิกสภาฯ ทั้งหลายแหล่ควรจะได้ใช้สิทธิ์เสียงของตัวเองโหวต ตามความตั้งใจเสรีทางด้านการเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่โหวตตามความเห็นพรรค
ถ้าหากมีความคิดเห็นว่ารัฐมนตรีผู้ใดกันอธิบาย ข้อกล่าวหามิได้ ก็จะต้องโหวตไม่ไว้วางใจตามความคิดเห็นของสังคม ไม่ใช่โหวตสวนความรู้สึกของสามัญชน ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะเห็นว่า นี่เป็นแบบอย่างเผด็จการพรรคการเมืองในระบบสภานิติบัญญัติอีกแบบหนึ่ง ที่มีผู้กุมอำนาจแล้วก็ทุนเป็นศูนย์กลางเป็นคนระบุพรรค วางนโยบาย แปลงเป็นระบอบเผด็จการระบบทุนนิยมพรรคการเมืองท้ายที่สุด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบสภานิติบัญญัติแล้วก็นำประเทศมาสู่ทางตันในหลายสมัยก่อนหน้าที่ผ่านมา
สังคมจะเดินไปด้านหน้าได้ พวกเราอยากระบบสภานิติบัญญัติที่เป็นระบบประชาธิปไตย เพื่อสร้างระบบประชาธิปไตย หาไม่แล้ว ก็จะถูกชุบมือเปิบจากกองทัพรวมทั้งกรุ๊ปอำนาจนิยมที่มีทุนดูแลอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง ชุบมือเปิบฉ้อราษฎร์บังหลวงอำนาจ ยึดอำนาจการปกครองไปเป็นของตัวเองท้ายที่สุด” นายปัญญากล่าว